More

    Google & Meta สู้ Deepfakes: เปิดตัวเทคโนโลยีลายน้ำดิจิทัล

    ศึกตรวจจับ Deepfakes เทคโนโลยีลายน้ำดิจิทัลใหม่ของ Google และ Meta ในการรักษาความน่าเชื่อถือของข้อมูล

    โลกดิจิทัลในวันนี้กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตความน่าเชื่อถือครั้งใหญ่ เมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ก้าวหน้าจนถึงจุดที่สามารถสร้างสรรค์ภาพนิ่ง วิดีโอ และเสียงที่ดูเหมือนจริงอย่างสมบูรณ์แบบ วิกฤตนี้มาในรูปแบบของ “Deepfakes” ซึ่งเป็นเนื้อหาปลอมที่แยกแยะด้วยตาเปล่าได้ยากยิ่ง ความท้าทายนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังสั่นคลอนความมั่นคงทางการเมืองและบ่อนทำลายความเข้าใจที่สาธารณชนมีต่อความจริง การเข้าสู่ยุคที่ทุกอย่างสามารถถูกปลอมแปลงได้ ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Google และ Meta ต้องเร่งหาอาวุธใหม่มาปกป้องโลกออนไลน์ และอาวุธนั้นคือ “ลายน้ำดิจิทัลที่มองไม่เห็น”

    ปัญหาของ Deepfakes ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องปัจจุบันที่คุกคามระบบนิเวศข้อมูลของเรา เมื่อ AI สามารถสร้างภาพที่ชนะการประกวดศิลปะได้ภายในไม่กี่วินาที ความสามารถในการสร้างข้อมูลบิดเบือนก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย การตอบสนองต่อภัยคุกคามนี้จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่ฝังรากลึกถึงแหล่งกำเนิดข้อมูล ดังนั้น Google และ Meta จึงหันมาใช้แนวคิดของลายเซ็นที่ถาวรและไม่สามารถลบออกได้ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการแยกแยะระหว่างสิ่งที่สร้างโดยมนุษย์กับสิ่งที่สร้างโดยจักรกล

    Google ได้เปิดตัวเทคโนโลยีที่เรียกว่า SynthID ซึ่งเป็นวิธีการฝังลายน้ำดิจิทัลโดยเฉพาะสำหรับภาพที่สร้างขึ้นด้วยเครื่องมือสร้างภาพของ Google เช่น Imagen ความพิเศษของ SynthID คือการออกแบบให้ลายเซ็นดิจิทัลนี้ถูกฝังเข้าไปในระดับพิกเซลตั้งแต่ขั้นตอนการสร้างสรรค์ นั่นหมายความว่าลายน้ำนี้ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่อยู่ภายนอก แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างข้อมูลของภาพนั้นๆ ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดคือความทนทานต่อการดัดแปลง ต่อให้ภาพนั้นถูกบีบอัด ถูกตัดต่อ ถูกปรับสี หรือแม้แต่ใส่ฟิลเตอร์ ลายน้ำที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านี้ก็ยังคงอยู่ และสามารถตรวจสอบได้ด้วยเครื่องมือพิเศษ นี่คือการรับประกันว่าเนื้อหาที่ออกมาจาก AI จะมีการระบุแหล่งที่มาอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่ม

    ในขณะเดียวกัน Meta ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียขนาดใหญ่อย่าง Facebook, Instagram และ Threads ก็ได้ประกาศความพยายามที่กว้างขวางยิ่งขึ้นในการควบคุม Deepfakes บนแพลตฟอร์มของตน Meta มุ่งเน้นไปที่การสร้างมาตรฐานร่วมกันกับบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ โดยเฉพาะในด้านการรับรองความน่าเชื่อถือของเนื้อหา (Content Provenance) Meta ได้ประกาศว่าจะใช้เครื่องมือตรวจสอบและติดป้ายกำกับสื่อที่สร้างจาก AI อย่างชัดเจน โดยเฉพาะวิดีโอและเสียงที่ถูกปรับแต่งด้วย AI ที่มาจากโมเดลชั้นนำภายนอก เช่น OpenAI หรือ Midjourney แนวคิดหลักคือการสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ผู้สร้างเนื้อหา AI ทุกรายต้องใส่ “ลายเซ็น” ทางเทคนิคบางอย่าง ซึ่ง Meta สามารถอ่านและนำมาแสดงผลเป็นป้ายกำกับ “สร้างด้วย AI” บนโพสต์นั้นๆ ได้ทันที

    ความสำคัญของการผลักดันเทคโนโลยีลายน้ำดิจิทัลนี้ไม่ได้อยู่แค่การจับผิด แต่เป็นการสร้างความโปร่งใสและฟื้นฟูความไว้วางใจในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้ชาวไทยเห็นภาพหรือวิดีโอที่ถูกติดป้ายกำกับว่าสร้างจาก AI อย่างชัดเจน พวกเขาสามารถตัดสินใจได้อย่างมีวิจารณญาณมากขึ้นว่าควรเชื่อถือข้อมูลนั้นหรือไม่ เทคโนโลยีเหล่านี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างบันทึกประวัติศาสตร์ของข้อมูล เพื่อให้เราสามารถสืบย้อนกลับไปได้ว่าใครคือผู้สร้างเนื้อหา และมันถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีธรรมชาติหรือด้วยการสังเคราะห์

    อย่างไรก็ตาม นี่คือการแข่งขันทางอาวุธที่ไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่เทคโนโลยี Deepfakes ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เครื่องมือตรวจสอบก็จะพัฒนาตามไปด้วย การร่วมมือกันระหว่างยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีในการกำหนดมาตรฐานร่วมกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะการต่อสู้กับข้อมูลบิดเบือนนี้ต้องอาศัยความพยายามจากทุกภาคส่วน ความพยายามของ Google และ Meta ในการฝังลายน้ำดิจิทัลนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการรักษาความสมบูรณ์ของโลกออนไลน์และปกป้องผู้อ่านทุกคนจากมายาคติของ Deepfakes ทำให้ผู้บริโภคสื่อสามารถก้าวเข้าสู่ยุคของ AI ได้อย่างมั่นใจและรู้เท่าทัน

    Latest articles

    spot_imgspot_img

    Related articles

    Leave a reply

    กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
    กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

    spot_imgspot_img