ถอดรหัสภาพยนตร์ A Silent Voice: วิธีที่ Naoko Yamada แห่ง KyoAni ใช้ ‘ความละเอียดอ่อนของภาษากาย’ และ ‘การจำกัดการมองเห็น’ ในการนำเสนอความยากลำบากของการสื่อสารและความวิตกกังวลทางสังคม
สำหรับใครที่เคยรับชมภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง A Silent Voice (Koe no Katachi) ของสตูดิโอ Kyoto Animation หรือที่แฟนๆ เรียกติดปากว่า KyoAni คงจะทราบดีว่านี่ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์เกี่ยวกับเด็กนักเรียนที่สื่อสารกันไม่ได้เท่านั้น แต่คือการดำดิ่งสู่ห้วงลึกของความวิตกกังวลทางสังคม (Social Anxiety) และการไถ่ถอนบาปที่เจ็บปวด การถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อนเหล่านี้ให้ผู้ชมรับรู้ได้ถึงแก่นนั้น ต้องยกเครดิตให้กับผู้กำกับ นาโอโกะ ยามาดะ (Naoko Yamada) ที่ใช้กลวิธีทางภาพที่ละเอียดอ่อนอย่างเหลือเชื่อ เรามาดูกันว่าเธอใช้ “ภาษากาย” และ “การจำกัดการมองเห็น” อย่างไรในการพาเราเข้าไปสู่โลกภายในของ อิชิดะ โชยะ
ภาษากาย: เมื่อคำพูดเป็นเพียงส่วนเกิน
ในภาพยนตร์ที่แก่นเรื่องคือความบกพร่องทางการได้ยิน การสื่อสารด้วยคำพูดจึงไม่ใช่ทางหลัก ยามาดะเลือกใช้ ‘ภาษากาย’ ที่ละเอียดอ่อนจนน่าทึ่งเพื่อสื่อสารสิ่งที่อยู่ในใจตัวละคร ลองสังเกตการเคลื่อนไหวของ นิชิมิยะ โชโกะ ที่มักจะกำมือแน่น หรือก้มตัวลงเล็กน้อยเมื่อรู้สึกไม่มั่นคง การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้บ่งบอกถึงความรู้สึกผิดและการพยายามปลีกตัวออกจากสังคม ขณะที่ อิชิดะ โชยะ มักจะยืนหลังค่อมหรือนั่งกอดเข่า แสดงถึงการแบกรับความรู้สึกหนักอึ้งและความรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น การโฟกัสไปที่มือที่สั่นเทา หรือปลายเท้าที่บิดไปมา จึงให้ความหมายที่หนักแน่นยิ่งกว่าบทสนทนาใดๆ ทั้งหมดนี้คือการสะท้อนความจริงว่า อารมณ์ที่แท้จริงมักถูกเปิดเผยผ่านการเคลื่อนไหวที่เราไม่ทันสังเกต
การจำกัดการมองเห็น: ความเหินห่างทางสังคมของ อิชิดะ
กลวิธีที่โดดเด่นและเป็นที่พูดถึงมากที่สุดคือ ‘การจำกัดการมองเห็น’ หรือการใช้เครื่องหมายกากบาท (X) ปิดบังใบหน้าของตัวละครรอบข้างในมุมมองของ อิชิดะ โชยะ กากบาทเหล่านี้ไม่ได้สื่อถึงเพียงแค่ความไม่คุ้นเคย แต่คือการเป็นภาพแทนของความวิตกกังวลทางสังคมที่รุนแรงของโชยะ ที่ปฏิเสธที่จะมองหน้าและสร้างความสัมพันธ์กับใคร เพราะเขามองว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะมีเพื่อน
นอกจากกากบาทแล้ว ผู้กำกับยามาดะยังใช้เทคนิคการจัดเฟรม (Framing) แบบเฉพาะตัว โดยกล้องมักจะจับภาพที่เท้า รองเท้า หรือพื้นดิน ขณะที่ตัวละครกำลังพูดคุยกัน การจำกัดการมองเห็นในลักษณะนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความอึดอัด ความไม่กล้าสบตา และการหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงทางสังคมของตัวโชยะเอง เราจึงถูกบังคับให้รับรู้โลกในแบบที่เขาเห็น นั่นคือโลกที่พร่ามัว ไม่ชัดเจน และเต็มไปด้วยความเหินห่าง
นี่คือเสน่ห์ที่ทำให้ A Silent Voice ทรงพลังอย่างแท้จริง นาโอโกะ ยามาดะ ไม่ได้เพียงแค่เล่าเรื่องการบูลลี่และการสื่อสารเท่านั้น แต่เธอใช้กลวิธีทางภาพที่ละเอียดและแม่นยำเพื่อทำให้ผู้ชม “รู้สึก” ถึงความหนักอึ้งของความวิตกกังวล การสื่อสารที่ไม่ต้องใช้คำพูด และการทำความเข้าใจโลกผ่านมุมมองที่จำกัด คือสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นมากกว่าแอนิเมชัน แต่มันคือการศึกษาจิตวิทยาเชิงลึกที่งดงามและกินใจอย่างแท้จริง



